Day: May 11, 2020

Diet VS Exercise ลดไขมันวิธีไหน ดีที่สุด

VERSION: Audio Book / Video รับชมที่นี่ สรุปแล้วออกกำลังกาย หรือคุมอาหาร ทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ไหม? หากว่าคุณเคยคิดจะลดความอ้วน หรือฟิตหุ่น แน่นอนว่าบางคนอาจจะมีความถนัดต่างกัน บางคนสามารถคุมอาหารได้ แต่อาจจะไม่ชอบออกกำลัง ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กันครับว่า วิธีไหน ยังไงดีที่สุด ยั่งยืน และปลอดภัยที่สุดครับ ข้อดีข้อเสียที่ต่างกัน ข้อดีของการคุมอาหารหลักๆคือ ทำให้เราได้รับพลังงานไม่มากเกินไป ทำให้ไม่สะสมไขมันเพิ่ม และสามารถลดไขมันได้ หากดูแลสารอาหาร ให้ครบถ้วน ก็จะสามารถเพิ่ม หรือรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ได้ ป้องกันปัญหาโรคแทรกซ้อน เช่นไขมันในเส้นเลือด หรือเบาหวานได้โดยตรง และหากได้รับอาหารครบทุกหมู่ ก็มีสุขภาพโดยรวมแข็งแรง แต่การคุมอาหาร ไม่สามารถช่วยให้เราได้สิ่งเหล่านี้ คุมอาหาร ไม่ได้ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ต้องออกกำลังกาย Cardio คุมอาหาร ไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ต้องออกกำลังกายแบบ Resistance Training คุมอาหาร ไม่ได้ทำให้ข้อต่อยืดหยุ่นขึ้น ต้องมีการยืดกล้ามเนื้อ คุมอาหารไม่ได้ทำให้ Posture ดีขึ้น ถ้าคุมอาหารอย่างเดียวเกิดอะไรขึ้น High Carbs Low Fat คือการคุมอาหารแบบลดปริมาณการกินไขมัน กินคาร์โบไฮเดรตสูง การคุมอาหารแบบนี้ ช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกายลง แต่กล้ามเนื้อก็จะลดลงไปด้วย แต่ถ้าคาร์โบไฮเดรตที่กินเข้าไปเป็น Simple Carbs หรือ High glycemic food เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว อาหารที่มีน้ำตาลสูง ก็จะยื่งทำให้ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น High Protein diet หรือการคุมอาหารแบบกินโปรตีนปริมาณสูงๆ สามารถลดไขมันในร่างกายได้เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน อัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน (Resting Metabolic Rate) และกล้ามเนื้อก็ลดลงด้วย เนื่องจากขาดสารอาหารชนิดอื่นๆมาเป็นพลังงานให้กล้ามเนื้อ Low Carbs High Fat หรือการคุมอาหารแบบกินแป้งน้อย ไขมันเยอะ ทำให้ไขมันลดลงได้เช่นเดียวกัน แต่เหมาะกับผู้ที่มีความต้องการใช้พลังงานขณะนั้นต่ำ (เช่นคนที่ไม่ได้ Active ออกกำลังกาย) เนื่องจากแป้งเป็นสารอาหารที่กล้ามเนื้อต้องนำไปใช้ การคุมอาหารอย่างเดียว ช่วงแรกน้ำหนักหรือไขมันก็อาจจะลดลงได้ครับ แต่ในที่สุดก็จะตัน

Fit Science: กินกี่มื้อ เวลาไหน ทำให้ฟิตที่สุด? ว่าด้วย Nutrient Timing

ทุกคนเคยสงสัยมั้ยครับ ว่าคนเราควรกินข้าวกี่มื้อดี และกินสารอาหารไหนตอนกี่โมง ถึงจะทำให้เราฟิตที่สุด วันนี้เรามาหาคำตอบกัน! กินกี่มื้อ VS กินมื้อละเยอะแค่ไหน (ทั้งวันกินมากแค่ไหน?) ร่างกายมนุษย์เรา ทำงานตามหลักทฤษฎี Law of thermodynamic หรือถ้าให้อธิบายง่ายๆ คือ พลังงานที่เราได้รับ กับพลังงานที่เราใช้ไปนั้น มีสมการง่ายๆ คือ ถ้ากินเยอะกว่าที่ใช้ ก็เก็บสะสมพลังงาน (มีวงเล็บ จะอ้วนไขมันขึ้น หรือกล้ามขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอะไร) ถ้ากินน้อยกว่าที่ใช้ ก็ผอมลง (มีวงเล็บ จะผอมลงเพราะเสียกล้าม หรือเสียไขมัน ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอะไร) ซึ่งจริงๆแล้ว การกิน (รับพลังงาน) ไม่ว่าเราจะกินมันเวลาไหน หรือแบ่งเป็นกี่มื้อ สุดท้ายแล้วก็ต้องตามกฏนี้เป็นหลักอยู่ดีครับ แล้ว Nutrient timing มันคืออะไร Nutrient Timing คือกลยุทธ์ในการเลือกทานอาหาร ปรับเปลี่ยนสารอาหารให้ถูกที่ถูกเวลา ตามเป้าหมายของเรา เช่น การแบ่งอาหารออกเป็นหลายๆ มื้อ , การทานอาหารก่อนออกกำลังกาย และการทานอาหารหลังออกกำลังกาย มันช่วยอะไรได้บ้าง ? เพื่อสุขภาพที่ดี (general health) พัฒนารูปร่าง (body composition) พัฒนาสมรรถภาพของนักกีฬา (sports performance) เพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูร่างกาย (recovery) ซึ่ง Nutrient timing นี้จะสอดคล้องและสัมพันธ์กับความต้องการพลังงาน (Energy Demand) ในแต่ละกิจกรรมและอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ในตลอดทั้งวัน รวมถึงเป้าหมายของเราด้วย ความต้องการพลังงานก็คือ ความหนักของกิจกรรมหรือการออกกำลังกาย ในขณะนั้น หากมีความต้องการพลังงานมาก และต้องการในทันที อาหารที่จะทานเข้าไปก็จะต้องย่อยได้เร็ว ในพลังงานได้ในทันที หรือหากมีความต้องการพลังงานน้อย เช่น นั่งทำงานเฉยๆ อ่านหนังสือ อาหารที่จะทานเข้าไปก็ไม่จำเป็นต้องย่อยเร็ว แต่ควรจะเป็นอาหารที่สามารถอยู่ท้องได้นานๆ เป็นต้น การแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ จะช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เพราะในแต่ละมื้ออาหารจะมีปริมาณที่น้อยลงทำให้ ย่อยออกมาเป็นน้ำตาลในปริมาณที่น้อยลง ส่งผลให้อินซูลินหลั่งออกมาในปริมาณที่น้อยลงเช่นกัน ทำให้มีแนวโน้มว่าการเก็บไขมันบริเวณท้องและเอวน้อยลงไปด้วย หรือจะเป็นการเลือกทานอาหารหรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีค่า Glycemic Index

5 เทคนิค สำหรับคนชอบกินไก่ทอด แต่อยากหุ่นดี”

หลายคนอาจจะบอกว่า ก็ลอกหนังออกสิ แต่ปัญหาคือ ขอโทษครับ ถ้าลอกหนังออก แล้วจะกินไก่ทอดทำเพื่อ? วันนี้เรามาดูกันครับ ว่ากินไก่ทอดยังไง ไม่ให้อ้วน ก่อนอื่นมาดูพลังงานกันก่อน อกไก่ทอดยี่ห้อลุงหนวด (ของโปรดผม) ให้พลังงาน320 kcalProtein 33gCarbs 9gFat 16g ถ้าเป็นส่วนอื่น ก็จะมีไขมันเยอะกว่านี้ และโปรตีนน้อยกว่านี้ครับ เช่นสะโพก มีไขมัน 19g และถ้าเป็นไก่กรอบ ก็มีแป้งและไขมันมากกว่านี้ เพราะไก่ทอด ยิ่งฟู ยิ่งอมไขมันนั่นเอง จึ่งไม่แปลกที่จริงๆเราสามารถกินไก่ทอดได้ แค่ลอกหนังออก ก็เป็นเมนูที่ได้โปรตีนเยอะมากเมนูนึงเลย แต่การเลาะหนังไก่ทอด เป็นพฤติกรรมที่ผมเอง ไม่ทำ! ส่วนที่อร่อยที่สุด เราโยนทิ้งเนี่ยนะ แค่คิดก็ของขึ้นแล้วครับ ————————————— เทคนิคที่ 1. สลับพลังงานที่จะได้รับ กับเมนูอื่นเมื่อเทียบพลังงานกับผัดกระเพราไข่ดาว ที่ให้พลังงานประมาณ 700-1000kcal ต่อจาน (มันอมน้ำมันกว่าไก่ทอดอีก)ดังนั้นหากมื้อเที่ยง เราไม่ไปกินของผัดๆ มันๆ เพื่อเก็บพลังงานมากินไก่ทอด เป็นอะไรที่ทำได้แน่นอนครับ เทคนิคที่ 2. ซับมันเทคนิคนี้อาจจะทำให้เราดูเหมือนเป็นคนบ้า แต่นะ อย่าไปสนอาจจะซับออกมาไม่ได้เยอะมาก แต่ก็พอช่วยได้บ้างแต่ถ้าเป็น Bonchon อันนี้อย่าไปซับเลยครับ… เละหมด เทคนิคที่ 3. เลือกที่เป็นเนื้อส่วนอกครับ จุดที่อ้วนที่สุดของไก่ทอดจะอยู่ที่หนัง ดังนั้นการเลือกอกทำให้มีสัดส่วนโปรตีนสูงกว่า อก 1 ชิ้น โปรตีน 33gสะโพก 1 ชิ้น โปรตีน 16gแต่ไขมันสะโพกเยอะกว่า! เทคนิคที่ 4. กินพอประมาณเรามาดูตัวอย่างง่ายๆ คือ Bonchon ซึ่งเวลาเราไป ไม่สามารถสั่งทีละชิ้นได้ อย่างน้อยต้องมี 3-6 ชิ้น ทำให้พลังงานมันทวีคูณ Bonchon 1 อกไร้กระดูก149 kcalProtein 14gCarbs 6gFat 7.5g X 6 ชิ้นก็ 894 kcal ไม่รวมข้าว เครื่องเคียง นั่นนู่นนี่

กล้ามไม่แข็ง: ทำไงดี? ปกติกล้ามควรแข็งไหม

“กล้ามไม่แข็ง เพราะอะไร คนเราปกติควรกล้ามแข็งไหม?” ปัญหาคาใจเพื่อนๆหลายคนคือ รู้สึกว่าทำไมตัวเราเหลวจัง และ ทำไมดูรูปนายแบบ นางแบบ กล้ามเค้าดูแข็ง ดูแน่นไปหมด เราจะทำได้แบบนั้นบ้างไหม? ซึ่ง 5 ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้กล้าม “ดู” แข็ง คือ ไขมันใต้ผิวหนังน้อยหนังบางก็เห็นกล้ามชัด กล้ามมีสารอาหาร + น้ำ เต็มถัง! กล้ามมีเลือด Pump (บรรทัดต่อไปเลย) กล้ามเกิดการเกร็ง มีการบวมน้ำใต้ผิวหนังน้อย กล้ามคนเราก็เหมือนอวัยวะเพศชายครับ มีแข็ง มีอ่อน เพราะข้างในกล้ามเนื้อนั้น มีทั้งเลือด มีทั้งสารอาหาร เรียกว่า Glycogen หรือแป้ง ซึ่งต่อ Glycogen 1 g. จะมีน้ำอยู่ด้วยประมาณ 3 กรัม เวลาที่เราเล่นเวทเสร็จใหม่ๆ สังเกตุดูว่ากล้ามจะแข็งๆ พองๆ นั่นเป็นเพราะว่าทั้งเลือด และสารอาหาร เกิดการไหลเวียนในกล้ามเนื้อนั่นเอง ดังนั้นปัจจัยที่สำคัญต่อการ “ดู” เหมือนกล้ามจะแข็งหลักๆคือต้องมีไขมันในร่างกายต่ำและดูเรื่องสารอาหารครับ (มีทางแก้ 5 ข้อนี้ อ่านต่อที่นี่ http://www.fitjunctions.ga/bloating/) ดูรูปประกอบเป็นตัวอย่าง ของผมรูปนี้กว่าจะถ่ายออกมาได้นี่ทั้งต้องเกร็ง ต้องเตรียมตัวลดไขมัน รีดน้ำในตัว มากมาย เตรียมตัวกันเกือบครึ่งปี เพื่อให้ 5 ข้อที่พูดถึงมานั้น ทำได้ครบ ผลก็คือ รูปออกมา “ดูเหมือน” กล้ามแข็งนั่นเอง สำหรับแนวทางการทำให้กล้ามดูแข็งขึ้นนั้น มาดูกันทีละข้อ ไขมันใต้ผิวหนังน้อย = ต้องมีการคุมอาหาร Cardio เพื่อลดไขมันทั้งตัว ดูบทความนี้ http://www.fitjunctions.ga/howbodyburnsfat กล้ามมีสารอาหาร คือต้องกินแป้งให้เพียงพอ ดูบทความนี้ http://www.fitjunctions.ga/carbs กล้ามมีเลือด ข้อนี้มาจากการฝึกซ้อม และจะไม่ได้อยู่กับเรา 24 ชั่วโมงครับ เล่นเวทเสร็จ นั่นแหละคือเวลาที่เราพร้อมถ่ายรูป (หรือพร้อมโชว์หุ่น) กล้ามเกิดการเกร็ง ข้อนี้ไม่แนะนำให้ไปเกร็งร่างกายตลอดเวลานะ ปล่อยไป เอาไว้เกร็งตอนถ่ายรูปพอ มีการบวมน้ำใต้ผิวหนังน้อย ดูบทความนี้

3 เทคนิค กิน Pizza ไม่ให้อ้วน: คนไทย กิน Pizza แบบไหน?

Pizza! พิซซ่า! อาหารโปรดของคนไทย ที่มีที่มายาวนานมาก วันนี้เรามาดูกันครับว่า Pizza กี่ Calorie ให้พลังงานเท่าไหร่ อ้วนไหม กินยังไงไม่ให้อ้วน ก่อนอื่นมาดู Nutrition Facts กันก่อนเลย ถ้าเราดูพลังงานอย่างเดียว โดยคิดจากแป้ง + ชีส และซอสมะเขือเทศ โดยไม่ใส่หน้าอะไรเลย 1 ชิ้น ขอบชีส 360 kcal แบบ Deep Dish 260 kcal แบบปกติ หนานุ่ม 212 kcal แบบบางกรอบ 170 kcal ถ้าใส่หน้าด้วยก็ประมาณนี้ หน้า Hawaiian 1 ชิ้น 230 kcal Protein 11 Carbs 29 Fat 9 ***(ขอรูป Pizza Hawaiian) หน้า Meat Lover ขอบชีส 400 kcal Protein 20 Carbs 34 Fat 25 ซึ่งก่อนเราจะไปดูเทคนิคการกิน Pizza ให้ไม่อ้วน เราต้องเขาใจก่อนว่า คนไทย กิน Pizza แบบไหนกัน แน่นอนว่าใครๆก็รู้ว่า Pizza มาจาก Italy แต่ว่าสิ่งที่คนชอบกิน Pizza หลายคนอาจจะไม่รู้คือ Pizza แบบที่นิยมกันที่บ้านเรานั้น ไม่ใช่ Italian Pizza แบบดั้งเดิมครับ หากพูดถึงยี่ห้อดังๆเช่น Pizza Hut, The Pizza Company, Narai ทั้งหมดนี้ เป็น Pizza แบบอเมริกาซึ่งโดยรวมแล้วมีจุดที่ต่างกันหลักๆคือแป้งหนาหน้าเยอะมากและไขมันสูงจัด Italian

กินวิปครีม อ้วนไหม? กินยังไงไม่ให้อ้วน?

ครีม คือส่วนที่มีไขมันมากของนม เมื่อขึ้นไขและแบ่งตัว สามารถนำมาขายเป็นสินค้าที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น เหมาะกับการนำมาทำขนม ซึ่งเพื่อนๆต้องแยกให้ออก ระหว่าง Whipping cream vs Whipped cream ครับ เนื่องจากครีมนั้นมีหลายสภาพ และหลายเกรดครับ วันนี้เอาเรื่อง Whipped cream ก่อน Whipped แปลว่าตีแล้ว ดังนั้นวิปครีมจะมีอากาศอยู่เยอะ ไม่ว่าจะจากการตีด้วยมือ เครื่อง หรือใช้แก๊ซอัด จึงมีสัดส่วนของตัว “ครีม” ไม่มาก ต่อปริมาณ 1 ช้อน (แบบตีแล้ว 1 ฟื๊ด เล็กๆ) น้ำหนัก 3 กรัม ให้พลังงานแค่ 8 kcal โดยมาจากไขมันเป็นส่วนใหญ่ และมีน้ำตาลเล็กน้อย ถ้าอยากให้เห็นภาพ เวลาเราไปกินขนมตามร้านไอติม หรือที่ใส่มาบนกาแฟ แบบฟื๊ดดดด ยาวหน่อย ก็น่าจะได้ประมาณ 30 kcal ครับ ดังนั้น whipped cream ไม่ใช่ตัวที่ทำให้เราอ้วน แต่สิ่งที่ทำให้เราอ้วนนั้นส่วนใหญ่ต้องถามว่า เรากิน whipped cream กับอะไร มากกว่า (honey toast ชุดนึงประมาณ 1200 kcal แบบจัดหนักทั้งติม ทั้งน้ำเชื่อม) อ้อ และอย่าลืม บางทีเราไม่ได้กินแค่ Whipped Cream แต่มีคาราเมลราดด้วย ก็เพิ่มพลังงานเข้าไปอีกครับ

5 วิธีกิน Popcorn ให้ไม่อ้วน

ขนมในตำนานที่เราต้องต่อคิวยาวเหยียด หรือซื้อในราคาสุดโหดตามโรงหนัง เราก็ยังชื่นชอบกัน วันนี้มาตอบคำถามกันว่าสรุปอ้วนไหม กินยังไงไม่ให้อ้วน? Popcorn นั้นใช้ความร้อนทำให้ข้าวโพดแตกตัว และพองออก ซึ่งมีการใส่น้ำมัน เนย หรือปรุงรสต่างๆให้กลมกล่อมขึ้น ข้าวโพดดิบประมาณ 100g หรือ 1/3 ถ้วย สามารถทำ Popcorn ได้ประมาณ 13 ถ้วย! เนื่องจากมีการขยายตัว ข้าวโพดดิบๆ 100g ให้พลังงาน 365 kcalProtein 9gCarbs 74gFat 5g ส่วน Popcorn แบบที่ Popped แล้ว ใส่น้ำมัน หรือเนยด้วย ให้พลังงานประมาณ 500+ kcal ต่อ 100g (อย่าลืมนะว่า 100g ของ Popcorn ต่างกับ 100g ของข้าวโพดดิบ)Protein 9Carbs 58Fat 28 เห็นข้อแตกต่างไหม? ไขมัน 5g VS 28g (ถ้าเป็น Popcorn ถุงแบบ microwave ไขมันเยอะกว่านี้อีก) นี่แหละครับ จุดที่ตอบคำถามได้ว่า อ้วนไม่อ้วนเพราะไขมัน 28g เทียบเท่ากับกินไข่แดง ประมาณ 5-6 ฟอง ดังนั้นถ้ากินข้าวโพดคั่วแบบทำเอง คือโยนข้าวโพดลงไปในกระทะเลยแล้วให้มัน POP เอง โดยไม่ใส่น้ำมัน และเติมเกลือเล็กน้อย แบบนี้พลังงานน้อยมาก เพราะเราใช้ข้าวโพดแค่ 50g ก็ได้ข้าวโพดคั่วอร่อยๆแล้ว อ่ะ ต่อกันอีกนิดกับยี่ห้อกาเร็ตละกัน เพราะผมก็ชอบกิน (มาก) เอาข้อมูลโภชนาการมาจากเว็บทางการเลย รส Caramelcrisp (ไม่มีถั่วนะ) ต่อ 30g (1ถ้วย) ให้พลังงาน 130 kcal Protein 0Carbs 24Fat 4 สรุปเลยละกันครับ

Anatomy : กล้ามหลังที่ใช้ในการดึงข้อ

“ดึงข้อ Pull Up / Chin Up ใช้กล้ามเนื้ออะไร ตอนไหน… อธิบายให้เห็นภาพด้วยรูปประกอบ และมีแบบทดสอบให้ลองทำเล่นที่บ้าน” เคยสงสัยมั้ยครับว่าเวลาเราเล่นท่าดึงข้อ หรือพวก Lat Pulldown ทำไมบางครั้งมัน Focus ยากจัง นั่นก็เป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อมันหลายมัดมากๆ และเราไม่เข้าใจว่าแต่ละมัดทำงานอย่างไรนั่นเอง บทความนี้ จะขอเจาะแค่โจทย์สำหรับท่า Pull Up / Chin Up เท่านั้นจะไม่เจาะท่า Rows / Cable Rows นะครับ เพื่อให้กระชับ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า Pull Up นั้นคืออะไร หากให้แปลเป็นภาษาไทยนั้น การดึงข้อประกอบไปด้วยการเคลื่อนไหวหลักๆดังนี้ Shoulder Extension: การดันแขนไปด้านหลังลำตัว Shoulder Adduction: การหุบแขน หุบศอก เข้ามาแนบลำตัว Scapular Retraction + Depression: การดึงสะบักเข้าหากัน และกดสะบักไม่ให้ลอย Shoulder Internal / External Rotation: การหมุนกระดูกแขน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาจับ คลำ และทำตามกันเลย! Scapular Retraction + Depression Function นี้สำคัญมากครับ นักเรียนหลายคนที่ดึงข้อแล้วมีปัญหาคือตัวงอ หรือดึงแล้วโดนแต่กล้ามแขน ไม่โดนกล้ามหลังเลย มีปัญหาตรงนี้ เพราะกล้ามเนื้อ Rhomboids ไม่แข็งแรง หน้าที่ของ Rhomboids ทำการ “ยึด” สะบักเราเอาไว้เพื่อให้สะบักเคลื่อนออกจากกัน ผลที่ได้คือเราสามารถออกแรงได้เต็มที่ เหมือนเวลาเรากระโดด การกระโดดจากพื้นแข็ง จะกระโดดได้สูงกว่าการกระโดดบนพื้นนิ่ม สิ่งนี้เรียกว่า Scapular Stability หรือการสร้างความมั่นคงของสะบักนั่นเอง! ซึ่งเกิดขึ้นมาจากการดึงสะบักเข้าหากันเรียกว่า Retraction ถ้าอยากรู้ว่า Retraction ทำงานยังไง ให้ลองนอนคว่ำ แล้วเอามือข้างนึงไปแตะตรง Rhomboids จุดในรูป แล้วกางแขนออกเหมือนนกจะบิน

ปวดหลัง เพราะนั่งนาน ทำไงดี? สอนท่านั่ง ท่าบริหาร ท่ายืด

เคยมั้ย.. นั่งทำงานนานๆแล้วเมื่อยคอ บ่า ไหล่ นั่งทำงานนานๆแล้วปวดหลัง ตึบๆตรงเอว เคยพยายามหาเก้าอี้ดีๆก็แล้ว เอาเบาะมารองก็แล้ว แก้ไม่หาย ที่สำคัญ เคยลองนั่งหลังตรงแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้เหมือนเดิม บทความวันนี้ ช่วยได้แน่นอน! ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่ากระดูกสันหลังของเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน จะได้เจาะได้ตรงจุด ว่าปวดตรงไหน Cervical: ช่วงคอ Thoracic: ช่วงกลางหลัง Lumbar: หลังช่วงล่าง ท่านั่งที่ผิด: ก่อนอื่นเรามาเริ่มบทความด้วยท่านั่งที่ผิดกันก่อน หลักๆแล้วมีอยู่ 3 ท่า ท่านั่งส้วม: จุดที่ตึงเพราะทำงานหนัก: Cervical เพราะกล้ามเนื้อคอต้องรับน้ำหนักหัวนานๆ จุดที่เมื่อยเพราะรับแรงกดเยอะ: Lumbar เพราะเกิดการงอตัวนานๆ จุดที่ตึงอื่นๆ: หน้าอก และไหล่ห่อ เพราะโน้มตัวเอาศอกลงมาวางบนขานานๆ = ทำให้ไหล่ห่อ ท่าปล่อยไหล: นั่งทำงานไปนานๆ หรือนั่งรอเพื่อน ก็ไหล….. เพราะมันสบาย จุดที่ตึงเพราะทำงานหนัก: Cervical เพราะกล้ามเนื้อคอต้องรับน้ำหนักหัวนานๆ ถ้าต้องมองจอ จุดที่เมื่อยเพราะรับแรงกดเยอะ: Lumbar เพราะเกิดการงอตัวนานๆ และเกิดการกดน้ำหนัก ท่านั่งเด็กมีปัญหา: นั่งพิงเก้าอี้แต่คอตก จุดที่ตึงเพราะทำงานหนัก: Cervical เพราะกล้ามเนื้อคอต้องรับน้ำหนักหัวนานๆ และช่วง Thoracic มักรับน้ำหนักตัวไม่ไหว ทำให้หลัง ไหล่ห่อ สามท่านี้แหละ เป็นต้นตอของสิ่งที่เรียกว่า Office Syndrome! แล้วแก้ยังไง? เราน่าจะรู้กันอยู่ว่าจริงๆแล้วควรนั่งหลังตรง แต่เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เรามาดูกันว่านั่งหลังตรงทำอย่างไร หู (หัว) ไหล่ ก้น อยู่ในเส้นเดียวกัน (ลากเส้นลงมาได้ตรงๆ) ไหล่ไม่ห่อ หน้าไม่ก้ม ศอกอยู่ข้างตัว หรือพักกับพนักได้ หรือการพิงไปเลย ก็ได้เหมือนกัน ตราบใดที่หัวเราตั้งตรงแบบนี้ หรือจะใช้เบาะรอง แบบนี้ก็ได้ ช่วยลดภาระที่เกิดจากแรงกดบนกระดูกสันหลังได้มาก แต่การนั่งหลังตรง เรามักจะเจอปัญหาหลักๆดังนี้ (เรื่องใหญ่มาก) Keyboard มันไม่ได้มาอยู่ในจุดที่เราสามารถนั่งหลังตรงและพิมพ์ได้ นั่งหลังตรงแล้วบางทีไม่สบายช่วงขา นั่งหลังตรงและเมื่อยหลังซะงั้น ปัญหาเหล่านี้เกิดเพราะว่า เก้าอี้

3 ปัญหา ของคนอยากเริ่มฟิต

คนอยากหุ่นดี มักเจอปัญหาง่ายๆ 3 ข้อ วันนี้ขอนำมาเล่า โดยผ่านสุภาษิตที่คนไทยคุ้นเคยกันอยู่แล้วครับ อ่านต่อเลย!   1. กบเลือกนาย: เห่อสูตรนั้นสูตรนี้ แต่สุดท้าย ทำไม่จบสักสูตร 2. ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด: อ่านเยอะ สงสัยเยอะ แต่ไม่เริ่มเสียที 3. ขี่ช้างจับตั๊กแตน: เคร่งเว่อร์ เพื่อผลลัพธ์ที่ไม่คุ้ม และท้อภายหลัง   แต่ละข้อ ผมเคยเป็นมาแล้วทั้งนั้น วันนี้มาดูกันเลยครับ ว่าแต่ละอย่างเป็นอย่างไรและแก้ไขอย่างไร 1. กบเลือกนาย ดูสูตรไดเอ็ทในเน็ต เห็นว่าเค้าลดได้เยอะ ลองทำดูบ้าง ทำได้ 2 อาทิตย์รู้สึกว่าไม่เห็นได้ผล เลยลองเปลี่ยนสูตร พอลองอันใหม่ เห้ยได้ผล! แต่ทำไปสักพัก มีอีกสูตรท่าทางจะง่ายกว่า ก็ไปลอง ลองไป 10 กว่าสูตร เริ่มรู้สึกว่ายุ่งยาก พอเลิกเห่อ ก็ไม่ได้ทำต่อ รู้งี้ ลองทำสูตรแรกต่อให้ครบสัก 2-3 เดือน จะได้รู้ว่ามันดีไม่ดี… น่าจะเวิร์คกว่า   ประสบการณ์ตรงของผม ย้อนเวลากลับไป 14 ปีที่แล้ว ผมเป็นเด็กเนิร์ดผอมๆที่มีพุงมีนม (skinny fat) แต่ไม่เคยเล่นกีฬาเลย เหตุผลที่เริ่มเล่นกีฬา ไม่ได้อยากหุ่นดี แต่แค่ไม่อยากโดนแกล้ง จึงเริ่มเล่นยูโดเล่นยูโดได้ 1-2 เดือน รู้สึกว่าทำไมยังสู้เพื่อนไม่ได้ ก็ไปเล่นคาราเต้ แต่ด้วยความที่มันยาก ก็ไปเล่นกังฟู พอเล่นได้ 1-2 เดือน ก็ยังสู้ใครไม่ได้อยู่ดี จึงโดนอาจารย์ด่า ว่าถ้าจะเล่นมันซะทุกอย่าง อย่างละนิด แต่ไม่ตั้งใจ ให้เวลาสักอย่าง เมื่อไหร่จะสู้ใครเขาได้   พอเจอคำนี้เข้าไป จึงเปลี่ยนทัศนะคติของตัวเองครั้งใหญ่ ทำให้เลิกจับจด และฝึกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่เอาจริงเอาจัง ซึ่งตอนนั้นสิ่งที่ทำคือเริ่มยกเวท และเล่นกังฟู อย่างค่อนข้างจริงจัง ผลที่ได้ ไม่ได้เกิดชั่วข้ามคืน แต่ค่อยๆเกิด จาก 3-4 เดือนที่เห็นความแตกต่างครั้งแรก