ทำไมถึงต้องยืดกล้ามเนื้อ ! ยืดกล้ามเนื้อคือสิ่งที่คนออกกำลังกายส่วนใหญ่มักละเลยทำให้เกิดผลเสียตามมาภายหลัง เช่นกล้ามเนื้อตึง หดเกร็ง ปวดหลัง ปวดเข่า ในบทความนี้มีท่าที่ควรฝึกแล้ววิธีแก้อาการบาดเจ็บให้คุณลองทำตาม อ่านต่อ
ไส้กรอก เนื้อแปรรูป กินได้ไหม? อันตรายหรือเปล่า สารควรระวังในอาหารรอบตัวเรา: ไส้กรอกแฮมและเนื้อแปรรูป เมื่อเราพูดถึงเนื้อแปรรูปเช่นไส้กรอกแฮมแหนมหมูยอหลายๆคนอาจจะเคยเห็นข่าวเรื่องดินประสิวสารกันบูดสารทำให้เนื้อแดงทำให้ไม่กล้ากินและเลี่ยงไปเลยทั้งๆที่ไม่ชอบ แต่จริงๆแล้วอาหารทุกอย่าง มีสิ่งเจือปนหมดไม่มากก็น้อย ดังนั้นแทนที่เราจะเลิกกินอะไร เราควรมาเรียนรู้กันดีกว่า ว่ากินแค่ไหนพอเหมาะ และสารเหล่านี้ เลี่ยงได้อย่างไรบ้างครับ วันนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องคำว่า “สารเสริม” ซึ่งบ้านเราอาจจะเรียกว่าสารเคมีหรือสารปรุงแต่งต่างๆนาๆที่ใส่ลงไปในอาหารเพื่อให้อาหารนั้นมีความนิ่มชุ่มชื่นอยู่ได้นานมีสีสวยและอีกหลายอย่างซึ่งแน่นอนว่าบางสารนั้นมีอันตราย สำหรับสารเสริมที่เราจะพูดถึงในวันนี้ เป็นสารที่พบได้ในอาหารประเภทเนื้อแปรรูป เช่นไส้กรอก แฮม เบคอน และรวมถึงหมูยอ แหนม เนื้อเค็ม กุนเชียงด้วยครับ ซึ่งสารเสริมที่เราจะพูดถึงวันนี้มีสองอย่าง คือ Nitrate & Nitrite ไนเตรท Nitrate: ใส่ให้ยับยั้งการเจริญเติบโตของ Crostridium Botulinum ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่โตได้ใสสภาวะไม่มีอากาศ เช่นใน Packaging อาหาร ทำให้ใส่แล้วเก็บได้นานขึ้น ไนไตร์ท Nitrite: ใส่เพื่อให้มีสีแดงน่ากิน ผลข้างเคียงของสารเหล่านี้คืออาการปวดหัววิงเวียนคลื่นไส้และอาจท้องร่วงหรืออุจจาระเป็นเลือดได้และเป็นสารก่อมะเร็งตับกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ปริมาณสูงสุดที่อย.ยอมให้มีในอาหารคือ ไนเทรต และโซเดียมไนเทรตใช้ ได้ไม่เกิน 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร ไนไทรต์ และโซเดียมไนไทรต์ ใช้ได้ไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร ฟังดูน่ากลัวมากแล้วเรากินไส้กรอกแฮมได้ไหม? จริงๆแล้วสำหรับอุตสาหกรรมเนื้อแปรรูป การไม่ใส่สารพวกนี้เลย อาจจะเป็นไปได้ยาก (และถ้าไม่ใส่แล้วผู้บริโภคอย่างเราได้รับเชื้อโรคมาด้วย ก็มีผลเสียเช่นกัน) ดังนั้น วิธีที่จะทำให้เราสามารถกินอาหารประเภทเนื้อแปรรูปได้ มีดังนี้ครับ สิ่งที่ควรเลี่ยง เลี่ยงเนื้อแปรรูปที่มีสีแดงผิดธรรมชาติเช่นไส้กรอกแดงๆแหนมแดงๆ เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากอย เลี่ยงผลิตภัณฑ์เก็บในที่ที่ไม่เย็น สิ่งที่ควรทำ กินอาหารให้หลากหลาย เพราะการกินเนื้อ (หรือเนื้อแปรรูป) มากไป หรือบ่อยไป ย่อมไม่ดี กินผักและผลไม้ด้วย! เพราะผักผลไม้มีวิตามินซีวิตามินเอซึ่งช่วยในการลดการเกิดพิษของไนเตรต รู้หรือไม่? จริงๆแล้ว Nitrate & Nitrite ก็พบได้ในผักใบเขียวด้วย แต่สามารถล้างออก และการปรุงเช่นการลวก หรือต้ม ก็ทำให้สารเหล่านี้ละลายออกไปได้ครับ สรุป: ไส้กรอก แฮม เนื้อแปรรูป กินได้! ในปริมาณที่พอเหมาะในความถี่ที่พอเหมาะครับ แถมข้อมูลโภชนาการของไส้กรอกแฮม และโบโลญญ่า ข้อมูลต่อ 100g Bologna หมู 247kcal Protein 15g อ่านต่อ
กินมื้อใหญ่ๆ VS กินมื้อเล็กๆหลายๆมื้อ แบบไหนผอม!? แบบไหนฟิต? กินมื้อใหญ่ๆ VS กินมื้อเล็กๆหลายๆมื้อ แบบไหนผอม!? แบบไหนฟิต? ปัจจุบันมีเทคนิคการกินหลากหลายแบบออกมาให้เราเห็นในอินเตอร์เน็ต เช่น 1. กินมื้อเล็กๆ 4-5 มื้อ ทั้งวัน2. กินมื้อใหญ่ๆ 1-2 มื้อ3. ข้าวเช้ากินเยอะ กลางวันกินน้อย เย็นกินน้อยมากๆ หรือไม่กิน4. อดอาหารทั้งวัน และกินในเวลาแค่ 4-5 ชั่วโมง (ยิ่งหิว ยิ่งดี!) 5. กิน 3 มื้อ เช้ากลางวันเย็น ทั้งหมดนี้ ทำให้เราสับสนมาก ว่าการที่เราจะหุ่นดีได้ สรุปควรจะทำอย่างไร อย่างแรกที่อยากอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจคือ ร่างกายคนเรา มีหลักการทำงานหลักๆ ง่ายๆดังนี้ครับ 1. กินเยอะกว่าที่เราใช้ (พลังงานมากเกินไป) เราก็อ้วนกฏข้อแรกของความอ้วน คือการที่เราได้รับพลังงานมากเกินไป (ไม่ว่าจะมาจากโปรตีน ไขมัน แป้ง น้ำตาล ได้รับเยอะไปก็อ้วนเหมือนกันหมด) ข้อนี้ โทษตัวเองที่กินแบบไม่ยับยั้งชั่งใจ และโทษตัวเองที่ไม่ค่อยออกกำลังกายได้เลย! 2. กินน้อยกว่าที่เราใช้ (พลังงานน้อย แต่ได้สารอาหารพอดีๆ) เราก็จะผอมทีนี้หากว่าเราได้รับพลังงานเพียงพอต่อที่เราต้องการ แต่มีการออกกำลังกายให้เกิดการ burn มากขึ้น เราก็จะเกิดการนำไขมันออกมาใช้ หรือไม่สะสมไขมันเพิ่ม ซึ่งปัจจัยหลักๆของการฟิตหุ่นก็มีสามข้อนี้ – การออกกำลัง แบบ Cardio เน้นการนำไขมันไปใช้– การคุมอาหาร ไม่ให้กินมากเกินไป ทำให้เราไม่เก็บไขมันเพิ่ม– การออกกำลัง แบบ Weight Training เน้นการทำให้ร่างกายแข็งแรง ฟิต 3. ร่างกายเรา ปรับตัวได้ตามเวลาอาหารที่เรากินที่นี้มาพูดถึงเวลาการกินกันบ้าง ในเมื่อร่างกายคนเรานั้น มีการปรับเวลาที่น้ำย่อยจะออกมา ตามพฤติกรรมการกินของเรา จึงทำให้คนที่กินไม่เป็นเวลา แบบไม่มีการวางแผน อาจจะเกิดปัญหาโรคกระเพราะได้ แต่การกินไม่ตามเวลาปกติ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ (พระ หรือยาม ที่ทำงานกลางคืน ก็ไม่ได้กินตามเวลาชาวบ้าน) เพราะพอเราทำอะไรเป็น pattern เดิมๆ ร่างกายก็จะปรับตัวได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าการพยายาม “หลอกร่างกาย” ด้วยการกินแบบแปลกๆ สุดท้ายร่างกายก็ปรับตัว อ่านต่อ
ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการ Cardio เคยได้ยินไหมครับ ว่าต้อง Cardio ที่อัตราการเต้นเท่านั้นเท่านี้ ในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ ถึงจะลดไขมันได้ หรือถ้า Cardio หนักๆกล้ามเนื้อจะหาย หรือบางคนกังวลว่าสรุปควร Cardio ตอนไหนดี ด้วยกิจกรรมอะไรดีที่สุด วันนี้มาหาคำตอบกัน ซึ่งสิ่งที่เรามักจะกังวลกัน ก็หนีไม่พ้น จะต้องทำกิจกรรมไหนดีที่สุด ทำแล้วกล้ามหายไหม ใช้เวลานานเท่าไหร่ แล้วอัตราการเต้นของหัวใจสำคัญไหม เราตอบได้สั้นๆตรงนี้เลยว่า ทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นอะไรที่เรากังวลไปเกินกว่าเหตุ เพราะจริงๆแล้ว การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเลือกกิจกรรมอะไร ขอให้ทำแบบพอดีๆ ก็ได้ผล (ลดไขมันได้) ครับ ก่อนเริ่มหาคำตอบ เราต้องเข้าใจก่อนว่า กิจกรรมการออกกำลังกายทุกอย่างนั้น มีจุดประสงค์ต่างกัน หลักๆคือ ลดไขมัน เพิ่มความอึด เพิ่มความเร็ว เป็นต้น สำหรับเรื่องการเลือกกิจกรรม หากเป้าหมายคือการลดไขมัน แทบจะไม่สำคัญเลยครับว่าจะทำกิจกรรมไหน ขอให้ได้ท้าทายและออกแรง และไม่เจ็บข้อต่อ = ลดไขมันได้หมด ส่วนเรื่องกลัวกล้ามหาย กล้ามเนื้อจะหาย ก็ต่อเมื่อเรากินโปรตีนไม่พอในแต่ละวัน หรือออกกำลังกายเยอะมากๆ ในที่นี้คืออาจจะวิ่งมาราธอนอาทิตย์ละหลายๆวัน เป็นต้น ซึ่งหากเราออกกำลังกายแบบคนทั่วๆไป คือ 3-5 วัน วันละ 60-90 นาที และกินอาหารครบ ก็ไม่ต้องกังวลครับ (ยกเว้นคนผอมมากๆ อยากเพิ่มกล้าม ควรลดการ Cardio ลงบ้าง) เรื่องระยะเวลา หลายๆคนอาจเคยได้ยินมาว่า ต้องออกให้นานกว่า 30-45 นาที ถึงจะใช้ไขมัน ข้อนี้ถูกไม่หมด เพราะจริงๆแล้วไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลักที่เราใช้ในแต่ละวันอยู่แล้ว ในการทำกิจกรรมระหว่างวันครับ เพราะไขมันเป็นแหล่งพลังงานท่าใช้ง่าย เพียงแต่ว่าปัญหาคือการนั่งๆเดินๆนอนๆ ใช้พลังงานไม่มากพอจะทำให้เรา “ลดไขมัน” ได้นั่นเอง ดังนั้นจึงต้องมีการเพิ่มความเข้มข้นเข้าไป เพิ่มระยะเวลาเข้าไป จะได้เผาผลาญพลังงานมากขึ้น เพื่อให้ได้ลดไขมันตามเป้าหมายครับ แต่ถ้าเข้มข้นมากไป จะไม่ใช้ไขมันหรือเปล่า? หรือจะเสียกล้ามไหม? เรามาดูตัวอย่างนี้กันครับ ก่อนอื่นอธิบายศัพท์ 2 คำ Steady State Cardio = การทำแบบต่อเนื่อง อาจจะที่ความเข้มข้นต่ำ อ่านต่อ
อยากรู้ไหมไขมัน เผาผลาญยังไง: อยากลีนต้องอ่าน เกริ่น: ยังมีเพื่อนๆบางคน ที่เชื่อว่าการจะ “ลดไขมันในร่างกาย” ต้องทำด้วยการออกกำลังกายที่ “ใช้ไขมัน” เท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่จำเป้นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไปครับ ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่าร่างกายคนเรา มีแหล่งพลังงานอะไรเป็นตัวเลือกบ้าง ร่างกายคนเรา ก็เปรียบเหมือนแหล่งเก็บพลังงาน เหมือนโกดัง มีแหล่งพลังงานหลักๆคือ ไขมัน: เก็บในรูปแบบของเซลไขมัน – มีปริมาณเยอะสุด ใช้ง่ายสุด ใช้ทั้งวัน แป้ง: เก็บในรูปแบบของ Glycogen ในตับและกล้ามเนื้อ มีปริมาณน้อย Creatine Phosphate: มีน้อยสุด แต่ใช้ได้เร็วสุด โปรตีน: เก็บในรูปแบบของกล้ามเนื้อ ร่างกายของเรานั้นมักจะใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลัก เพราะมีจำนวนมาก (เพราะไขมันใช้ Oxygen ช่วยเผาผลาญ) แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องมีการใช้พลังงานมากๆเร็วๆ โดยที่ร่างกายใช้ Oxygen ไม่ทัน ก็จะมีการนำแหล่งอื่นๆมาใช้ มาดูตัวอย่างกัน เดิน ทำงานบ้าน เล่นกีฬาเบาๆ วิ่งเหยาะๆ ใช้ไขมัน เพราะหายใจทัน และไม่ได้ใช้พลังงานเยอะๆในเวลาอันสั้นกิจกรรมเหล่านี้จึงเผาผลาญไขมันได้ดี แต่เผาผลาญพลังงานน้อย (200-300 kcal ต่อชั่วโมง) ยกเวท วิ่งเร็วหน่อย เป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานเยอะในเวลาสั้นๆ พูดง่ายๆคือทำให้เรา “หายใจไม่ทัน” จึงไม่สามารถทำติดต่อกันนานๆได้ กิจกรรมเหล่านี้ ใช้แป้ง เป็นแหล่งพลังงานหลัก (ไขมันก็ใช้) กิจกรรมเหล่านี้ใช้พลังงาน 600-700 ต่อชั่วโมง หรือมากกว่านั้น และยังมี Afterburn effect (อย่างที่อธิบายไปเมื่อบทความก่อนหน้านี้)แต่ต้องเข้าใจนิดนึงว่าหลายคนอาจจะไม่ได้ทำกิจกรรมเหล่านี้ต่อเนื่องตลอด เช่น ยกเวท ก็ต้องมีพักเซ็ท และการวิ่งเร็วๆ หลายๆคนอาจจะทำได้ไม่นาน ทำให้ไม่ได้ทำกิจกรรมเหล่านี้ต่อเนื่องครบ 1 ชั่วโมงตลอดครับ และสุดท้าย คือกิจกรรมที่ใช้พลังเยอะมากๆ ในเวลาอันสั้น เช่น ยกน้ำหนักเยอะๆ เป็นร้อยกิโล แน่นอนว่ายกได้แค่ไม่กี่ครั้งก็ต้องวาง แบบนี้จะใช้ Creatine Phosphate เป็นหลัก เพราะไขมัน หรือแป้ง “ไม่ทันใจ” เราจะเห็นได้ว่าร่างกายมีการใช้พลังงานหลากหลาย ขึ้นอยู่กับกิจกรรม และความเร็วในการต้องการพลังงานนั้นๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ อ่านต่อ
แป้ง น้ำตาล และ Glycemic Index สำหรับหลายๆคน อาจจะสงสัยว่า ข้าวขาว ข้าวกล้อง หรือขนมปังขาว ขนมปังโฮลวีทมันต่างกันตรงไหน (ถ้าไม่นับ Vitamin ต่างๆ) คำตอบที่น่าจะเข้าใจง่ายที่สุดคือ“ความเร็วในการย่อยเป็นน้ำตาล” ต่างกันครับ ความเร็วในการย่อยเป็นน้ำตาลของอาหารนั้น วัดด้วยค่า Glycemic Index หรือเราจะเรียกสั้นๆว่าค่า GI ครับ ซึ่งค่านี้ จะมีเฉพาะสำหรับอาหารที่มีแป้งเท่านั้น (น้ำมัน เนื้อสัตว์ไม่มีค่านี้ เพราะไม่ใช่แหล่งแป้ง) ซึ่งตัวเลขก็นับจากต่ำมากๆ คือย่อยช้า เช่น ถั่วลิสง 6 แอปเปิล 39 พาสต้า ประมาณ 40-45 แล้วแต่ชนิดเส้น น้ำอัดลม 68 ข้าวซ้อมมือ 68 ขนมปังขาว 71 ขนมปังโฮลวีท 71 ข้าวขาว 73 เราดู List นี้แล้วหลายคนอาจจะตกใจ ว่าเห้ย ที่มันหวานๆ เช่นแอปเปิล หรือแม้แต่น้ำอัดลม ทำไมมันต่ำ นั่นเป็นเพราะว่าน้ำตาลในโลกนี้มีหลายประเภทครับ (ไว้มาเล่าต่อวันหลัง) Glycemic Load vs Glycemic Index ว่าด้วยความเร็วในการย่อยเป็นน้ำตาล และสิ่งที่เราโดนหลอกกันมาตลอด เมื่อวานได้เขียนถึงเรื่อง Glycemic Index หรือการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลไปแล้ว ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่อ่านจบแล้วอาจจะ เลือกกินอาหารที่มี GI ต่ำ หรือคนบางคน พยายามเลี่ยงอาหารที่มี GI สูงไปเลย จริงๆแล้วค่า Glycemic Index เป็นอะไรที่หลายคนเข้าใจผิด ว่ายิ่ง GI สูง ยิ่งแย่ ยิ่งอ้วน จริงๆแล้วไม่ถูกต้องครับ เพราะถึงอาหารบางชนิด จะมีค่า Gi สูง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแย่ไปหมดครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ น้ำอัดลม มี GI 68 ฟักทอง มี GI 75 จ๊าก หมายความว่าน้ำอัดลม อ่านต่อ
กิจกรรมไหน เหมาะกับใคร เคยมั้ยครับ ไม่รู้จะออกกำลังกายเมื่อไหร่ กิจกรรมไหน นานเท่าไหร่ และที่สำคัญ อยากรู้ว่า “ออกวิธีไหน ดีที่สุด” คำตอบคือ ไม่มีวิธีที่ดีที่สุด มีแต่วิธีที่เหมาะกับเป้าหมายเราที่สุด จะเป็นยังไง อ่านต่อเลยครับ จริงๆแล้วปัจจัยที่เราควรคำนึงถึง เมื่อเลือกวิธีการออกกำลังกาย มีหลักๆแค่นี้สิ่งที่ต้องคำนึงครับ ความปลอดภัย: ถ้าร่างกายไม่พร้อม ก็ต้องเลือกกิจกรรมที่เราทำไหว ความชอบ: ถึงกิจกรรม “ดี” แค่ไหน ถ้าเราไม่ชอบ ก็จบ เป้าหมาย: แต่ละคนมีเป้าหมายต่างกัน คำว่าเป้าหมายนี่แหละ คือปัจจัยสำคัญ ที่เราต้องคิดให้ดีๆ ซึ่งเป้าหมายที่พบได้บ่อยที่สุด มีดังนี้ครับ ลดไขมัน รักษากล้ามเนื้อไว้ให้มากที่สุด เพิ่มทักษะ อยากเก่งกีฬา หรืออยากได้ความสามารถด้วย เพิ่มความอึด เพื่อนำไปใช้กับกีฬา เช่นมวย หรือมาราธอน ประหยัดเวลา ไม่อยากออกกำลังกายนาน แต่อยากลดไขมัน วันนี้จะมาเจาะกิจกรรม สำหรับแต่ละเป้าหมายกันไปเลยครับ ก่อนอื่นมาดูเป้าหมาย และ Option ในการออกกำลังกายกัน สำหรับกิจกรรมพื้นฐานที่สุด ที่ช่วยเราลดไขมันได้ อย่างปลอดภัย และรักษามวลกล้ามได้ดี การเดิน: ใช้พลังงาน 300 kcal / hr การแกว่งแขน ใช้พลังงาน 150-250 kcal / hr หรือการวิ่งเหยาะๆ ใช้พลังงาน 450-600 kcal / hr สองข้อแรกเป็นกิจกรรมที่ปลอดภัยสุดแล้ว และสามารถทำที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ทุกเพศทุกวัย จะป่วย ไม่สบาย ก็ยังทำได้ (ยกเว้นถ้าเป็นไข้หนักๆ ก็ควรพัก) ทำ 30-60 นาที x 3-5 วันต่อสัปดาห์ครับ ข้อดีสำหรับ 3 กิจกรรมนี้ คือไม่ทำให้ร่างกายล้า ทำให้เรามีแรงไปเล่นเวท หรือทำกิจกรรมอื่นๆได้ และปลอดภัยมาก แต่ช้อเสียคือ ต้องเสียเวลานาน เพื่อให้เผาผลาญได้เยอะๆครับ (โดยเฉพาะแกว่งแขน) แต่ถ้าทำสม่ำเสมอ อ่านต่อ
3 ความเชื่อผิดๆ ของคนอยากลดไขมัน อยากลดไขมันเร็ว ทำให้เกิดความเชื่อผิดตามมามากมาย เช่น ตัดแป้ง ออกกำลังอย่างหักโหม อดอาหาร และสิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เกิดผลเสียตามมา อย่าง Yoyo Effect เป็นต้น อ่านต่อ
เทคนิคการกินอาหารเสริมให้คุ้มค่าที่สุด ขึ้นชื่อว่าอาหารเสริม หมายความว่า เข้ามาเสริม ในส่วนที่โดยปกติเราอาจจะขาด หรือเข้ามาเสริมในจุดที่ทำให้เราสะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลา ความสะดวกสบายเป็นต้น จริงๆแล้วมนุษย์เราสามารถดำเนินอยู่อย่างมีสุขภาพดีได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการพึ่งอาหารเสริมใดใดทั้งสิ้น ตัวอย่างง่ายๆคือย้อนเวลากลับไปในอดีตกาล มนุษย์ก็อยู่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาหารเสริม มีข้อดีที่ไม่ควรมองข้าม คือความสะดวกสบายครับ มุมมองและจุดยืนของผม ต่อทุกสิ่งในโลกนี้ คือ หากเราหาทางทำให้มันเกิดประโยชน์ที่สุด = ย่อมดีกับเรา ดังนั้น ผมจึงไม่ต่อต้านอาหารเสริม แต่สนับสนุนให้ทุกคนศึกษา เพื่อจะได้รู้ว่าเราจะใช้มันเพื่อตอบโจทย์ข้อไหนได้บ้าง ส่วนอะไรที่ไม่ตอบโจทย์ เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครับ อาหารเสริมแบ่งได้ง่ายๆดังนี้ วิตามินและแร่ธาตุเสริม โปรตีนเสริม อาหารเสริมลดน้ำหนัก กลุ่มนี้แบ่งเป็นกลุ่มที่มีการกระตุ้น เช่นกาแฟ ชาเขียวสกัด และกลุ่มดักจับ บล๊อกไม่ให้ดูดซึม ปกติเราได้รับสารอาหารเพียงพออยู่แล้วหรือไม่? เนื่องจากเป้าหมายของเพจนี้ คือการฟิต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมัน หรือเพิ่มกล้ามเนื้อ ดังนั้นสำหรับคนที่อยากหุ่นดี ต้องการโปรตีน และสารอาหารอื่นๆมากกว่าคนทั่วไป แต่เรามาลองดูตัวอย่างอาหารยอดฮิตกันครับ เช้า: หมูปิ้ง ข้าวเหนียว สาย: กาแฟ เที่ยง: กระเพราไข่ดาวราดข้าว เย็น: ผัดผัก ปลาทอด ข้าวสวย ดึก: บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หากคุณเป็นคนที่กินแบบนี้อยู่ ก่อนอื่นอยากบอกให้ไปแก้ไขด่วน (ยังไม่ต้องหาอาหารเสริมมากิน เพราะถึงกิน ก็ไม่ช่วย) กินผักให้เยอะขึ้น กินผลไม้ด้วย เลี่ยงของผัดๆทอดๆ (จะกิน ก็วันละมื้อ จะได้ไม่หนักเกินไป) เลี่ยงของแปรรูป กินได้ แต่อย่าบ่อย ทำ 4 ข้อนี้ได้สักเดือน แล้วค่อยคิดเรื่องการใช้อาหารเสริมครับ โปรตีนเสริมจำเป็นไหม? โปรตีนเสริม ไม่มีความจำเป็น และสามารถ “กล้ามใหญ่” ได้ แม้ไม่ใช้ นี่) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โปรตีนเสริมก็มีข้อดี ประหยัดเวลา เพราะไม่ต้องปรุง เคี้ยว ล้าง และดูดซึมได้เร็ว เช่น Whey Protein จึงนิยมดื่มหลังออกกำลังกาย ที่สำคัญสะดวก สำหรับคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีทางเลือก เช่นมีแต่อาหารตามสั่ง การจะได้รับโปรตีนเพียงพอ อ่านต่อ
ว่าด้วยโปรตีนผง EP1 โปรตีนผง หรือ whey protein มีหลากหลายชนิด ข้อดีคือ ราคาถูก สะดวกหาทานได้ง่าย ให้โปรตีนสูง อ่านต่อ