Day: May 11, 2020

Whey Protein คืออะไร มาจากไหน มีกี่ชนิด

whey protein เป็นของแถมที่ได้จากการทำชีส นำไปทำให้เป็นผงโดยผ่านกรรมวิธีต่างๆ whey protein มีหลายสูตร แบบตามความเข้มข้นของปริมาณของโปรตีนที่ได้ อย่างไรก็ตามWhey ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นโปรตีนผงชนิดหนึ่งจึงไม่เหมาะสำหรับดื่มเพื่อทดแทนมื้ออาหาร

4 เทคนิคการดื่ม Whey Protein

หลายคนเลือกดื่ม Whey Protein เพื่อเพิ่มกล้าม แต่ดื่มแบบผิดวิธีทำให้ได้ไม่คุ้มเสีย บทความนี้จะทำให้คุณดื่ม Whey ได้อย่างถูกวิธีและเห็นผล พร้อมแนวทางทำตามได้เลย

Guide วิธีเลือกอาหารฟิตๆ ในร้านสะดวกซื้อ

ปัญหาของนักเรียน และเพื่อนในเพจ ที่ส่งเข้ามาถามผมบ่อยๆ คือ “ทำยังไงดี เวลาอยู่นอกบ้าน และต้องกินอาหารสะดวกซื้อ” บทความนี้ เรามาดูข้อผิดพลาดหลักๆ ใหญ่ๆ และทางแก้กันครับ ข้อผิดพลาด1 : มักกินอาหารที่ผ่านการปรุงเยอะๆ หรือแปรรูปจนมีส่วนผสมต่างๆเสริมเข้ามามากมาย อาหารกลุ่มนี้ ต้องยอมรับว่า คนชื่นชอบ เพราะง่าย อร่อย สะดวก แต่! มีพลังงานบางอย่างแฝงอยู่มากมาย เช่น ไขมันแอบซ่อน ที่มาจากการผัด ทอด หรือซอส เช่นมายองเนส หรือน้ำตาล ซึ่งทำให้เราได้รับสารอาหารดีๆ น้อย แต่พลังงานสูง ดังนั้น เวลากินอาหารสะดวกซื้อ จะแนะนำให้เลี่ยงพวกอาหาร processed food เช่น ไส้กรอก (ไขมันเยอะมาก) ข้าวผัด ข้าวไข่เจียว และแซนวิชที่มาโยเยอะๆ กลุ่มนี้สารอาหารน้อย มีแต่แป้งและไขมัน เพราะผ่านขบวนการมามากครับ แต่! ต้องบอกก่อนนะ ว่าจริงๆอาหารพวกนี้มันกินได้ แค่ไม่แนะนำให้กิน “เป็นอาหารหลัก หรือแทนมื้ออาหาร” ครับเพราะพวกนี้มีแต่แป้ง ไขมัน พลังงานเยอะ เทคนิคง่ายๆในการเลือก 2 ข้อ ให้ครบหมู่ แป้ง โปรตีน ไขมัน กากใย เลือก whole food ถ้าเป็นไปได้ การเลือกอาหารให้ครบหมู่ และอาหารที่ผ่านการปรุงจน “ไม่เหลือสภาพ” จะทำให้เราได้รับพลังงานแฝงน้อยลง เรามาดูกันครับว่าแต่ละกลุ่ม มีอะไรแนะนำบ้างที่ง่าย สะดวก สารอาหารครบ และคุ้มราคา แหล่งโปรตีน ทูน่ากระป๋อง โปรตีนสูง เก็บได้นาน และที่สำคัญ เมื่อเทียบราคา กับปริมาณโปรตีนแล้ว ทูน่าป๋องเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากๆ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้ เลือกทูน่าในน้ำเกลือ หรือน้ำแร่จะดีมากครับ ราคา 38 บาท ได้โปรตีน 45 กรัมเรียกว่าคุ้มมากๆทีเดียวครับ ไข่ต้ม! ไข่ออนเซ็น นี่ก็โอเค เป็นทางเลือกที่ง่ายสะดวก แต่ราคา

4 Steps เทรนยังไงให้ลีน ฟิต อึด

สำหรับคนที่ออกกำลังกาย การตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญมาก เพราะจะทำให้เราไม่ต้องลงแรงกับสิ่งที่เสียเวลาฟรีๆ เป้าหมายยอดฮิตสำหรับคนที่ออกกำลังก็มี อยากลดไขมัน อยากเพิ่มกล้าม สรุปง่ายๆ คือเป้าหมายหลักๆของหลายๆคน คืออยากดูดีขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วการจะได้มาซึ่งเป้าหมายเหล่านี้นั้น มีหลายทางมาก ซึ่งก่อนอื่น ก็ต้องเริ่มจากการเลือกรูปแบบที่เราชอบก่อน ขอแค่เราเจอทางที่ชอบก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง คือจุดที่เราอยากได้ผลมากขึ้น เราก็ย่อมต้องเลือกสิ่งที่บางครั้ง “เจาะจง” กับเป้าหมายเรามากกว่าแค่สิ่งที่ “สนุก” ครับ เป้าหมายที่เจาะจงขึ้น เช่น อึดขึ้น ว่องไวขึ้น แรงเยอะขึ้น ทักษะเพิ่ม มีความยืดหยุ่นของร่างกาย ข้อผิดพลาดของผมคือ มักจะเลือกแต่การออกกำลังกายที่สนุก จึงมักจะเลือกแต่การออกกำลังที่ผมชอบ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ร่างกายผมพัฒนา ช่วงปีที่ผ่านๆมา ผมคล่องตัวขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น แต่ข้อเสียคือ ไม่ได้พัฒนาด้านความ “อึด” หรือ Endurance เช่นวิ่งเร็วๆ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าให้วิ่งนานๆ จะเหนื่อยง่ายมาก ทำให้เป็นอุปสรรค์ในการออกกำลังกายของผม ในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมาครับ สาเหตุนั่นเป็นเพราะว่า ผมไม่เคยฝึก เพื่อเพิมความอึดเลย ดังนั้น วันนี้เราจะมารื้อฟื้น Basics การฝึก Cardio เพื่อให้เราอึดขึ้นกันครับ ซึ่งการฝึกนี้ แบ่งเป็น 4 ระดับด้วยกัน ตรงนี้จะเป็นจุดที่เราสามารถใช้อุปกรณ์ เช่น Fitness Tracker ให้เป็นประโยชน์ได้ เช่นของผมใช้ Gear Fit2 ช่วยวัด Heart Rate เพื่อให้เราหาจุดอ่อนจุดแข็งในการฝึกให้เจอ เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ “เจาะจงขึ้น” ครับ บทความนี้จะพาไปนับหนึ่งใหม่กันกับฟ้าใส เล่าให้ฟังเลยว่าทำอะไรบ้าง โดยใช้ Gearfit วัด Heart Rate ไปด้วยกันครับ หลายๆคนอาจจะไม่รู้ ว่าจริงๆแล้วการฝึก Cardio นั้นสามารถแบ่งได้เป็น 4 ระดับ นั่นก็คือ Phase 1: Aerobic-base training เน้นฝึกที่ความเข้มข้นต่ำ แต่เน้นระยะเวลานานๆ (น่าเบื่อมากกกกก) ความเหนื่อยอยู่ที่ระดับ 3-4 เต็ม

HANDICAPS: ปรับความยาก ให้บริหาร “โดน” ขึ้น

หลายคนอาจจะเคยประสบปัญหาท่าออกกำลังกายบางท่าทำยากมากๆเช่นการวิดพื้นหรือดึงข้อสำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะและทำให้ท้อเพราะเล่นยังไงก็ทำไม่ได้ เทคนิคที่จะนำมาแนะนำวันนี้ คือการใช้การค่อยๆปรับความยาก ให้เหมาะสมกับระดับความฟิตของตัวเอง ซึ่งใช้ได้ตั้งแต่มือใหม่ ยันมือเก่าเลยครับ Progressive Overload หมายความว่าการค่อยๆเพิ่มแรงกดดัน (น้ำหนัก) อย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป Handicap: หมายถึงตัวช่วยต่างๆ และเทคนิคที่จะลดความยากของการฝึกลง ทำให้เราบริหารท่าต่างๆได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เพื่อนๆสามารถนำไปใช้กับท่าไหนก็ได้ ผมจะแบ่ง steps ตามนี้ครับ Step 1 เรียนรู้ท่าที่ถูกต้อง ต้องเข้าใจหลักการทำงานของท่านั้นๆ เช่นใช้กล้ามเนื้อมัดไหนบ้าง เพื่อให้เข้าใจจุดประสงค์ และจินตนาการถูก ว่าควรเคลื่อนไหวอย่างไร Step 2 ลองทำและดูว่ายากง่ายแค่ไหน ปกติแล้วเวลาคนเราทำท่าบริหารไม่ได้ จะต้องมีกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งที่ “ไม่ไหว”(หรือแม้แต่คนที่แข็งแรง สมมุตให้วิดพื้น 1000 ครั้ง ยังไงก็ต้องมีหมดแรง) Step 3 ให้ดูและวิเคราะห์ว่าหมดแรงจุดไหนก่อน ตัวอย่าง: วิดพื้น ลงไปอกแตะพื้น แล้วดันไม่ขึ้น = อกไม่มีแรง ขึ้นมาได้ครึ่งทางแต่ดันไม่สุด = แขนไม่มีแรง เวลาดันแล้วตัวขึ้นก่อน เอวขึ้นตาม = ท้องไม่มีแรง ข้อนี้จะสอดคล้องกับข้อแรกความเข้าใจเรื่องกล้ามเนื้อจะช่วยได้มากครับ Step 4 แก้ปัญหาด้วยเทคนิค Handicap หรือการทำให้ท่านั้นง่ายขึ้น ตัวอย่างของการใช้ Handicap แบ่งได้หลายแบบ ลดระยะทาง ทำให้เราไม่ต้องลงไปถึงจุดที่เราดันกลับมาไม่ได้ เปลี่ยนศูนย์ถ่วงของน้ำหนัก ทำให้กล้ามเนื้อรับน้ำหนักน้อยลง ปรับมุม ทำให้กล้ามเนื้ออื่นๆมาใช้งานมากขึ้น (ใช้กล้ามเนื้อมัดที่แข็งแรงกว่ามาช่วย) Step 5 ค่อยๆเพิ่มความท้าทายขึ้น ด้วยการเพิ่มจำนวนครับ Week 1-2 แนะนำให้ใช้การ Handicap ที่ทำให้เราสามารถทำท่าต่างๆ ได้อย่างน้อย 10-12 Reps X 3 Sets แต่หากทำได้แค่ 5 ครั้ง ให้ใช้วิธี แบ่งเป็น Mini Set เช่น หากต้องวิดพื้น 10 Reps X 3 Sets =

รวมเทคนิคสอบ นักศึกษาวิชาทหาร: วิธีซ้อม ตารางซ้อม และการกิน

บทความนี้ ตั้งใจทำมาให้ตอบโจทย์ทุกเรื่อง ของน้องๆที่จะสอบนักศึกษาวิชาทหาร (สอบนายร้อยก็อ่านได้) อ่านให้จบ ทำคะแนนได้ดีแน่นอนครับ เรามาเริ่มกันแบบไม่ต้องเกริ่นยาวมาก ก่อนอื่นจะบอกว่า ขั้นตอนที่น้องๆควรเข้าใจ ที่เราจะเจาะลึกกันหลักๆ ดังนี้ครับ Practice Technique: ซ้อมก่อน ได้เปรียบ Troubleshoot: แก้ปัญหาที่อาจจะเกิดได้ Game Plan: วางแผนการลงมือทำ Nutrition: ก่อนวันสอบ ดูการกินให้เหมาะสม Rest & Ready: พักผ่อนให้ดี Warm Up ให้ถูกวิธีก่อนสอบ สีส้ม คือเราสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้ เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้า สีเขียว คือสิ่งที่เราจะทำใน 1-2 วัน ก่อนวันสอบ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด Practice Technique: ซ้อมเทคนิค และหาวิธีที่เหมาะกับตัวเอง วิดพื้น: แต่ละคน ถนัดวางมือไม่เหมือนกัน และมักจะหมดแรง ณ จุดต่างกัน เช่นบางคนหมดแรงตอนลงสุด ขึ้นไม่ได้ หรือบางคน หมดแรงตอนขึ้นมาได้ครึ่งทาง แต่ขึ้นไม่สุด Sit Up: ท่านี้เป็นเรื่องของเทคนิคล้วนๆ สิ่งที่อยากให้ซ้อม คือการเกร็งก้น เก็บคอ และที่สำคัญมากๆ เพื่อให้ได้จำนวนครั้งเยอะๆ ตอนขาลง ให้ลงเร็ว และใช้แรงกระแทก เด้งกลับขึ้นมา ซึ่งหากเราไม่เก็บคอ จะทำให้หัวของเรา เหวี่ยง และมึนหัวได้ (หน้าควรจะมองไปทางเข่าตลอด) และการเก็บคอ ช่วยลดระยะ ทำให้คานสั้นลง จะทำให้เราทำแต่ละ Rep ได้เร็วขึ้นครับ ส่วนข้อศอก ขาลงกางศอกเล็กน้อย และขาขึ้น หุบศอก เพื่อลดระยะ และ Momentum ของการหุบศอก จะช่วยดึงตัวเราขึ้นมาเร็วขึ้น ที่สำคัญ หายใจเข้าตอนลง หายใจออกตอนขึ้น ฝึกตรงนี้ให้คล่อง ทำได้แน่นอนครับ วิ่ง 800 เมตร: เทคนิคการวิ่งจริงๆแล้วต้องทำเป็นคลิปสอนจริงๆจังๆ แต่สำหรับเทคนิค 800 เมตรที่จะแนะนำคือเรื่องการ ​warm

16:8Intermittent Fasting ทำแล้วได้ผลจริงหรือ?

Intermittent Fasting รีวิวตรงๆประสบการณ์ 4 ปีและมีงานวิจัย Intermittent Fasting คือการอดอาหารเป็นช่วงๆ เช่นอาหารวันละ 15 หรือ 20 ชั่วโมงแล้วแต่สูตร ย้อนเวลาไปตอนปี 2012 ตอนที่ผมจะลดไขมัน ก็ได้ลองสูตรต่างๆหลายสูตร เช่น กินมื้อเล็กๆ 6-8 มื้อบ้างแต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะดวก และเสียเวลาแบ่งมื้อ หรือเทคนิคลดแป้ง ซึ่งใช้แล้ว ก็ทรมานจิตใจ ในปีปลายปี 2012 น้องสาวผม ซึ่งเรียนด้านโภชนาการ (น้องใบคา เพจ ชะนีมีกล้าม) ได้ซื้อหนังสือ Eat Stop Eat มาและนั่งอ่านด้วยกัน หลังจากศึกษาอยู่พักหนึ่ง จึงได้ตัดสินใจ ทดลอง Intermittent Fasting แบบจริงจังมากๆ โดยทำจริงๆจังๆ ประมาณ 1 ปี และทุกวันนี้ ก็ยังมีทำๆหยุดๆอยู่ แล้วแต่ความสะดวกครับ สิ่งที่ต้องเข้าใจให้ถูก คือ IF ไม่ได้แปลว่าอดอาหารแบบผิดๆ สารอาหารที่ได้รับ ต้องครบ พลังงาน (Calorie) ต้องเหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการ คำว่า IF มาจาก Intermittent แปลว่าไม่ต่อเนื่อง Fasting แปลว่าอดอาหาร เป็นสูตรการ Diet ที่เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น ในบ้านเรา ซึ่งจริงๆมันมีวิธีอื่นๆ ที่ได้ผล ทำให้คนเราหุ่นดีได้ไม่แพ้กัน (ทั้งจากที่ทำส่วนตัว และสอนนักเรียนมา) และจริงๆ Concept การอดอาหารมีมานานมากๆแล้ว ในหลายศาสนา เช่นศาสนาอิสลาม มีการถือศีลอด รอมฎอน ซึ่งอดตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนพระอาทิตย์ตก หรือศาสนาพุทธพระสงฆ์จะเลิกฉันตั้งแต่หลังเที่ยงเป็นต้นไป หลักการทำงาน หลักการทำงานของ IF คือ ในช่วงที่เราอดอาหาร ระดับ Insulin จะต่ำมาก และเมื่อ Insulin ต่ำ Growth Hormones จะหลั่งและทำให้เราเผาผลาญไขมันได้

เดิน วิ่งช้า วิ่งเร็วมากๆ ใช้พลังงานจากไหน และแบบไหน “ผอมเร็ว” ที่สุด

เรามักจะพบคำถาม และสงสัย ว่าในการออกกำลังกาย แต่ละประเภท ใช้พลังงานจากไหน และเราจะสามารถ ทำอย่างไร ให้ไขมันออกจากร่างกายให้มากที่สุด ความเชื่อที่เรามักจะเคยได้ยินมา คือ ต้องออกกำลังกาย เป็นเวลานานๆ เกิน 30-45 นาที ร่างกายถึงเอาไขมัน สะสมออกมาใช้ การออกกำลังกายต้องอยู่ใน Zone ที่ Burn Fat เราถึงจะลดไขมันได้ การยกเวทไม่ได้ทำให้ไขมันลด ทั้งหมดนี้ ทำให้เกิดความเชื่อในการออกกำลังกาย ที่ ถึงแม้จะไม่ได้ “ผิด” แต่เป็นการสร้างกรอบให้กับตัวเอง ทำให้ชีวิต “ยากขึ้น” ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์ ควรจะทำให้ชีวิตเราง่าย ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนครับ ว่าจริงๆแล้ว ร่างกายใช้พลังงานจากไหนบ้าง โดยแหล่งพลังงานหลักๆในร่างกายคนเรา ใช้พลังงานจากสารอาหารต่างๆทีเรียกว่า Macronutrients เช่น โปรตีน แป้ง ไขมัน ซึ่งในร่างกาย จะมีการเก็บพลังงานเหล่านี้ไว้ ในรูปแบบต่างๆ เช่น โปรตีน = เก็บอยู่ในรูปแบบของ กล้ามเนื้อ แป้ง = เก็บในรูปแบบของ Glycogen อยู่ในกล้ามเนื้อ และตับ ไขมัน = เก็บเป็นไขมันสะสม และ ATP-CP แต่ละสารอาหาร นำมาใช้เป็นพลังงานได้อย่างไร เพื่อให้อธิบายแบบเข้าใจง่ายที่สุด ลองจินตนาการตามนี้ครับ ระบบ Oxidative System: ไขมัน เพราะไขมันเป็นแหล่งที่ให้พลังงานได้มากที่สุด และมีสะสมมากที่สุดในร่างกาย ดังนั้น จึงเป็นแหล่งที่ใช้งานได้อย่างต่อเนื่องที่สุด แต่มีข้อแม้ ว่าต้องใช้ Oxygen ในการช่วยเผาผลาญ ดังนั้น ในกิจกรรม เช่น การเดิน การนั่งทำงาน ระหว่างวันมักจะใช้ไขมันเป็นหลัก (มี Glucose ด้วยเนื่องจากสมองใช้ Glucose หรือน้ำตาล) จากภาพนี้เราจะเห็นได้ ว่าระบบ Oxidative นั้น “ออกโรง” ค่อนข้างช้า แต่ต่อเนื่องกว่าระบบอื่นๆ เป็นที่มาของความเชื่อว่า ต้องเดินนานๆ

เจาะลึกเรื่อง Q-Angle รู้ไว้ ไม่เจ็บเข่า

บทความนี้เหมาะกับคนที่ลดไขมัน ด้วยการวิ่ง โดยเฉพาะผู้หญิง หรือผู้ชายที่วิ่งแล้วเจ็บเข่า         Q-Angle คืออะไร ทำไมต้องรู้?   ในการใช้งาน เช่นการเดิน วิ่ง หัวเข่าของเรานั้น ควรมีการ เคลื่อนไหวที่ปกติ ซึ่งคำว่าปกตินั้นตีความได้หลากหลาย แต่วันนี้ เราจะมาเจาะลึกกันในแง่ของ การเคลื่อนไหว และตำแหน่งของลูกสะบ้ากันครับ   ลูกสะบ้า หรือกระดูก Patellar นั้นอยู่ตรงจุดกลางระหว่างกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) และกระดูกต้นขา (Femur)   วัดอย่างไร?   ในการวัด ว่าลูกสะบ้าของเรานั้น อยู่ “ถูกที่” ไหม สามารถดูได้ทางหนึ่ง ด้วยการเช็ค Q Angle หรือย่อมาจาก Quadriceps Angle แปลว่าองศาของกล้ามเนื้อ “ควอดริเซ็ปส์” นั่นเอง ซึ่งองศานี้ เกิดจากการตัดกันของเส้นสมมติ 2 เส้นคือเส้นที่ลากจาก   เส้นที่ 1: ปุ่มกระดูกสะโพกทางด้านหน้า ที่เรียกว่า ปุ่มกระดูกด้านหน้าของกระดูกเชิงกราน (anterior superior iliac spine หรือ ASIS) ไปยังกึ่งกลางกระดูกสะบ้า   เส้นที่ 2 อีกเส้นหนึ่งลากจากกึ่งกลางกระดูกสะบ้า (mid patella) ไปที่ปุ่มทางด้านหน้าของกระดูกทิเบีย (tibial tubercle)     จะพบว่าทั้งสองเส้นนี้ทำมุมกันที่ตำแหน่งกึ่งกลางของกระดูกสะบ้า (mid patellar) ซึ่งใช้เป็นตัวบอกที่สำคัญเกี่ยวกับตำแหน่งการวางตัวของกระดูกสะบ้า และสามารถวัดเป็นองศาได้ด้วยอุปกรณ์การวัดคือ โกนิโอมิเตอร์ (goniometer)   สำหรับผู้อ่านทั่วๆไป จริงๆไม่จำเป็นต้องวัดให้ยุ่งยาก เพราะจากการศึกษา พบว่าปัจจัยของเพศ ส่งผลต่อมุมของ Q Angle ต่างกัน ค่าปกติของ Q Angle ในผู้ชายจะอยู่ระหว่าง 10-14 องศา

ยิ่งฟิตยิ่งป่วย ออกกำลังกายแล้วสุขภาพดี จริงหรือ?

ออกกำลังกายแล้วสุขภาพดี จริงหรือ?มีใครเคยเป็นบ้าง ช่วงที่เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ แล้วป่วยง่าย เป็นหวัดบ่อย หรือถ้าตอนนี้ยังเป็นอยู่ ต้องอ่านให้จบ! กีฬาเป็นยาวิเศษ คำนี้เราอาจจะเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่มีหลายคน ที่พอเริ่มออกกำลังกายปุป ป่วยบ่อย ป่วยง่าย และป่วยที ป่วยนาน ไม่ว่าจะเป็นเจ็บคอ เป็นหวัด น้ำมูก หรือกลุ่ม URI (Upper Respiratory Illness) ยังไม่รวมอาการบาดเจ็บต่างๆ เช่นปวดเข่าปวดหลัง! จนหลายๆคนอาจจะคิดว่า สรุปแล้วออกกำลังกาย ยิ่งทำให้เจ็บป่วยหรือเปล่า คำตอบคือ ออกกำลังกาย ทำให้ป่วยได้จริง แต่! ก็ทำให้สุขภาพดีได้เช่นกัน ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการหาสมดุลของ 3 ข้อนี้ครับ 1. ปริมาณการออกกำลังกาย 2. รูปแบบการออกกำลังกาย 3. โภชนาการที่เหมาะสม และการพักผ่อน จากงานวิจัย พบว่าจริงๆแล้วการออกกำลังกาย สามารถช่วยให้เรามีสุขภาพดีได้จริงๆ (และมีงานวิจัยแนวนี้เยอะมากจน Reference ไม่หมด) และมีการทดลอง นำผู้สูงอายุ สองกลุ่ม ระหว่างกลุ่มที่ออกกำลังกาย เทียบกับกลุ่มที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พบว่ากลุ่มที่ออกกำลังกาย แข็งแรงกว่า แต่เมื่อเราเจาะลึกขึ้น เราจะสามารถแบ่งคนที่ออกกำลังกายได้ เป็น 3 กลุ่ม คือ นักกีฬาที่จริงจังมากๆ คนออกกำลังกายปกติ และคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย จากงานวิจับพบว่า – นักกีฬาอาชีพ พบปัญหา URI มากถึง 66% – คนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ป่วย 45% – และคนที่ออกกำลังกายปกติ ป่วย 22% ดังนั้น คนที่ออกกำลังกายพอดีๆ ป่วยน้อยที่สุด แต่กลุ่มที่ป่วยเยอะที่สุด คือนักกีฬา โดยเฉพาะ แนว Endurance เช่น วิ่งมาราธอน ว่ายน้ำ มักพบปัญหานี้เยอะ สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะปริมาณการออกกำลังกายของนักกีฬานั้น เยอะกว่าคนปกติมากๆ ทำให้กดระบบ ภูมิคุ้มกัน รวมทั้งใช้พลังงานเยอะ