บทความนี้เหมาะกับคนที่ลดไขมัน ด้วยการวิ่ง โดยเฉพาะผู้หญิง หรือผู้ชายที่วิ่งแล้วเจ็บเข่า
Q-Angle คืออะไร ทำไมต้องรู้? ในการใช้งาน เช่นการเดิน วิ่ง หัวเข่าของเรานั้น ควรมีการ เคลื่อนไหวที่ปกติ ซึ่งคำว่าปกตินั้นตีความได้หลากหลาย แต่วันนี้ เราจะมาเจาะลึกกันในแง่ของ การเคลื่อนไหว และตำแหน่งของลูกสะบ้ากันครับ ลูกสะบ้า หรือกระดูก Patellar นั้นอยู่ตรงจุดกลางระหว่างกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) และกระดูกต้นขา (Femur)

วัดอย่างไร? ในการวัด ว่าลูกสะบ้าของเรานั้น อยู่ “ถูกที่” ไหม สามารถดูได้ทางหนึ่ง ด้วยการเช็ค Q Angle หรือย่อมาจาก Quadriceps Angle แปลว่าองศาของกล้ามเนื้อ “ควอดริเซ็ปส์” นั่นเอง ซึ่งองศานี้ เกิดจากการตัดกันของเส้นสมมติ 2 เส้นคือเส้นที่ลากจาก เส้นที่ 1: ปุ่มกระดูกสะโพกทางด้านหน้า ที่เรียกว่า ปุ่มกระดูกด้านหน้าของกระดูกเชิงกราน (anterior superior iliac spine หรือ ASIS) ไปยังกึ่งกลางกระดูกสะบ้า เส้นที่ 2 อีกเส้นหนึ่งลากจากกึ่งกลางกระดูกสะบ้า (mid patella) ไปที่ปุ่มทางด้านหน้าของกระดูกทิเบีย (tibial tubercle)
จะพบว่าทั้งสองเส้นนี้ทำมุมกันที่ตำแหน่งกึ่งกลางของกระดูกสะบ้า (mid patellar) ซึ่งใช้เป็นตัวบอกที่สำคัญเกี่ยวกับตำแหน่งการวางตัวของกระดูกสะบ้า และสามารถวัดเป็นองศาได้ด้วยอุปกรณ์การวัดคือ โกนิโอมิเตอร์ (goniometer)
สำหรับผู้อ่านทั่วๆไป จริงๆไม่จำเป็นต้องวัดให้ยุ่งยาก เพราะจากการศึกษา พบว่าปัจจัยของเพศ ส่งผลต่อมุมของ Q Angle ต่างกัน
ค่าปกติของ Q Angle ในผู้ชายจะอยู่ระหว่าง 10-14 องศา ส่วนผู้หญิงมีค่า 14-17 องศา
สาเหตุเป็นเพราะความแตกต่างของกระดูกเชิงกราน และความยาวของกระดูกขาของเพศหญิงจะมีค่ามุมที่มากกว่าเพศชาย (เพศหญิง ต้องคลอดลูก จึงมีกระดูกสะโพกที่กว้างกว่าผู้ชาย) เมื่อกระดูกเชิงกรานกว้าง ASIS (ปุ่มหน้ากระดูกเชิงกราน) ก็จะเยื้องออกไปทางด้านนอกมากขึ้น ทำให้เกิดมุมองศาที่กว้างขึ้นนั่นเอง และสำหรับกลุ่มที่มีปัญหาทางโครงสร้าง มุม Q Angle นี้สามารถเพิ่มไปถึง 15 องศา ในผู้ชายและ 20 องศา ในผู้หญิง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาได้ครับ
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
สำหรับผู้หญิง ในเมื่อ Q Angle โดยปกติจะกว้างกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ในการยืนปกติ ยิ่ง Q Angle กว้างขึ้น ทำให้ต้องปรับมุมของเท้า ให้เป็นปกติที่สุด ซึ่งมักจะทำโดยการหมุนขาเข้าหากัน หรือที่เรียกว่า Hip Internal Rotation ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ดังนี้
1 ลูกสะบ้าเลื่อนหลุดออก Track ที่ควรจะเป็น สาเหตุเกิดเพราะ IT Band หรือเนื้อเยื้อที่อยู่ด้านข้างๆขาด้านนอกของเรา Illitibial Band มีการดึงตัวมากขึ้น ประกอบกับเอ็นยึดข้อต่างๆด้านใน หย่อนตัวมากกว่าปกติ เนื่องจาก Q Angle กว้าง ทำให้ขาอยู่ในลักษณะ “ทิ่ม” เข้าด้านใน ทำให้ลูกสะบ้าหลุดออกทางด้านนอกได้
2. Chondromalacia Patellae หรืออาการเข่าเสื่อม เกิดจากกระดูกอ่อนผิวข้อของกระดูกสะบ้าเกิดการสึกกร่อนและนิ่มตัวลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มักเริ่มเป็นที่ตรงกลางของกระดูกอ่อน ต่อมาจึงลามออกมาทั้งสองด้านของผิว femoral condyle อาการที่พบบ่อย คือ อาการปวดบริเวณกระดูกสะบ้า เมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อเข่า เช่น การวิ่งการเดินขึ้นลงบันได หรืออาจเกิดอาการปวดข้อเข่าอยู่ในท่างอเป็นระยะเวลานาน ส่วนมากผู้ที่เป็นโรคนี้อาการมักหายได้เอง แต่บางรายอาการจะมากขึ้นจนกระทั่งกระดูกอ่อนผิวข้อถูกทำลายจนถึงระยะข้อเข่าเสื่อม
3. Genu valgum และ Genu Varum หรืออาการเข่าหุบเข้าหากัน และอาการเข่าบานออก ทำให้เกิดแรงดึงที่ผิดปกติ เป็นเหตุให้เกิดอาการเจ็บช่วงเข่าได้
Solutions: แนวทางแก้ไข
กลุ่ม 1: กลุ่มที่ไม่มีอาการเจ็บหัวเข่า แต่ต้องการป้องกันปัญหาที่หัวเข่า นอกจากจะฝึกเทคนิคการวิ่ง และออกกำลังกายให้ถูกวิธีแล้ว แนะนำให้มีการบริหารกล้ามเนื้อที่มักจะอ่อนแอ และยืดกล้ามเนื้อที่มักจะตึง
กล้ามเนื้อที่ควรบริหาร – Gluteus Maximus – Gluteus Medius – Quadriceps
กล้ามเนื้อที่ควรยืด – Adductors – TFL

กลุ่ม 2: มีอาการเจ็บที่หัวเข่าแล้ว จี๊ดๆ หากอาการไม่รุนแรงมาก สามารถบริหาร และยืด ตามกลุ่มกล้ามเนื้อที่แนะนำไปได้ แต่ควรจะคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดอาการเจ็บด้วย เช่น ท่าที่บริหาร อาจจะทำผิด (วิ่งไม่ถูกท่า หรือยกเวทผิด) หรืออาจจะมีปัญหาจากโครงสร้างกระดูก หรืออาการกล้ามเนื้อตึงเรื้อรัง ที่ส่งผลต่อโครงสร้าง ซึ่งแนะนำให้ตรวจเช็คกับนักกายภาพบำบัด เพื่อความแม่นยำที่สุดครับ
References
- Lathinghouse LH1, Trimble MH. Effects of isometric quadriceps activation on the Q-angle in women before and after quadriceps exercise. J Orthop Sports Phys Ther. 2000 Apr;30(4):211-6.
- Olerud C, Berg P. The variation of the Q angle with different positions of the foot.Clin Orthop Relat Res. 1984 Dec;(191):162-5.
- Mizuno Y at el. Q-angle influences tibiofemoral and patellofemoral kinematics. J Orthop Res. 2001 Sep;19(5):834-40.
- DAVID TIBERIO, MS, PT. The Effect of Excessive Subtalar Joint Pronation on Patellofemoral Mechanics: A Theoretical Model. Journal of Orthopaedic & Sports Physical Therapy 1987;9(4):160-5.
- Danilode Oliveira SilvaaRonaldo ValdirBriani. Q-angle static or dynamic measurements, which is the best choice for patellofemoral pain? Clinical Biomechanics Volume 30, Issue 10, December 2015, Pages 1083-1087
- Emami MJ, Ghahramani MH, Abdinejad F, Namazi H. Q-angle: an invaluable parameter for evaluation of anterior knee pain. Arch Iran Med. 2007 Jan;10(1):24-6.
- Horton MG, Hall TL. Quadriceps femoris muscle angle: normal values and relationships with gender and selected skeletal measures. Phys Ther. 1989 Nov;69(11):897-901.
- Sarkar A, et al. Indian J Physiol Pharmacol. Effect of isometric quadricep activation on “Q” angle in young females. 2009 Jul-Sep
- Belchior A.C.G., Arakaki J.C. Effects in the Q angle measurement with maximal voluntary isometric contraction of the quadriceps muscle. Rev Bras Med Esporte _Vol. 12,– Jan/Fev, 2006
- Miller III RH. Knee injuries. In: Canale ST ed. Campbell’s operative orthopaedics 9th ed. St. Louis: Mosby. 1998;1113-1300.
- Kelly MA, Insall JN. Clinical examination of the knee. In: Insall JN, Windsor RE, Scott WN, Kelly MA, Aglietti P, eds. Surgery of the knee 2nd ed. New York: Churchill Livingstone. 1993;63-82.